การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคแม่แบบ
(Modeling Technique)
ชัยวัฒน์
สุทธิรัตย์ (2553: 239-246) ได้กล่าวไว้ว่า
ความหมาย
เทคนิคแม่แบบ
เป็นกลวิธีสร้างหรือสอนพฤติกรรมใหม่ โดยให้ผู้ประสงค์จะเรียนแบบสังเกตพฤติกรรมของแม่แบบที่เขาสนใจ
(Bandura, Rossand Ross 1963: 99-108) และ Patterson
(1973: 138-139) สรุปว่าการเรียนรู้ส่วนใหญ่ของเด็กเกิดจาก
การกระทำตามผู้อื่นเด็กจะเรียนรู้จากแม่แบบ โดยแม่แบบจะทำหน้าที่เป็นสิ่งเร้าให้
ผู้เรียนสังเกตและเลียนแบบพฤติกรรมที่เป็นเป้าหมายซึ่งกระบวนการเรียนรู้โดยการสังเกตเป็นวิธีการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจมโนทัศน์ที่ซับซ้อนหรือยากๆ
ได้ดีและรวดเร็ว
ทฤษฎี/แนวคิด
หลักการเรียนรู้จากตัวแบบ
วัชรี ทรัพย์มี (2525:
212-213) สรุปหลักการเรียนรู้จากตัวแบบไว้ดังนี้
1. ให้ผู้สังเกตได้เรียนรู้พฤติกรรมใหม่จากการสังเกตพฤติกรรมของแม่แบบซึ่งจะช่วยให้ผู้สังเกตได้เรียนรู้ทักษะในการก่อให้เกิดพฤติกรรมใหม่
2. ผู้สังเกตอาจจะรับรู้วิธีการที่จะนำมาสู่พฤติกรรมที่พึงปรารถนามาก่อนแล้วแต่ยังไม่ได้ทำหรือคาดว่าจะทำไม่ได้
จากการสังเกตพฤติกรรมที่แม่แบบแสดง
จะช่วยกระตุ้นให้ผู้สังเกตได้แสดงพฤติกรรมที่เรียนรู้มาแล้วนั้น
3. แม่แบบจะต้องมีลักษณะที่น่าสนใจ
เพื่อเป็นแรงจูงใจหรือส่งเสริมให้ผู้สังเกตเลียนแบบ
4. หลังจากผู้สังเกตได้สังเกตพฤติกรรมของแม่แบบแล้ว
ผู้สังเกตจะจดจำพฤติกรรมแม่แบบไว้ในความทรงจำ เพื่อนำไปแสดงพฤติกรรมในอนาคต
5. หลังจากผู้สังเกตได้สังเกตพฤติกรรมของแม่แบบแล้ว
ให้โอกาสผู้สังเกตได้ฝึกฝนพฤติกรรมนั้นและผู้ควบคุมจะเป็นผู้ให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้สังเกต
ชนิดของแม่แบบ
Bandura (1977: 40-51) ได้แบ่งแม่แบบไว้เป็น
2 ชนิดคือ แม่แบบจากตัวจริงกับแม่แบบที่เป็ฯสัญลักษณ์ซึ่งอาจเป็นคำพูด
เอกสาร หรือใช้ทัศนวัสดุ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ สไลด์ หรือวีดีโอเทป เป็นต้น
อิทธิพลของแม่แบบที่มีต่อผู้สังเกต
Bandura (1977: 41-45) สรุปถึงอิทธิพลของแม่แบบที่มีผู้สังเกตดังนี้
1. การสร้างพฤติกรรมใหม่
เมื่อผู้สังเกตได้เห็นการกระทำของแม่แบบซึ่งเป็นการกระทำที่ผู้สังเกตไปเคยพบเห็นมาก่อน
ผู้สังเกตจะรวบรวมข้อมูลของการกระทำใหม่นี้ในรูปของสัญลักษณ์และถ่ายทอดออกมาเป็นพฤติกรรมใหม่
2. การสร้างกฎเกณฑ์หรือหลักการใหม่
จะเกิดขึ้นในสภาพที่ผู้สังเกตเห็นการกระทำของแม่แบบในลักษณะต่างๆ เช่น การตัดสินใจ
รูปแบบทางภาษา เป็นต้น จากนั้นผู้สังเกตจะทดสอบการกระทำตามแม่แบบลักษณะต่างๆ
และถ้าการตอบสนองส่งผลทางบวก ผู้สังเกตจะรวบรวมรูปแบบลักษณะของแม่แบบในรูปแบบต่างๆ
แล้วนำมาสร้างเป็นกฎเกณฑ์ใหม่หรือหลักการใหม่
3. การสอนความคิดและพฤติกรรมการสร้างสรรค์
การมีแม่แบบจะช่วยสนับสนุน
การพัฒนาเชิงสร้างสรรค์เพราะเมื่อมนุษย์เห็นแม่แบบกระทำพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่ง
มนุษย์อาจใช้ประสบการณ์ต่างๆ
ที่มีอยู่ประกอบกับการกระทำของแม่แบบมาพัฒนาเป็นความคิดหรือพฤติกรรมใหม่ขึ้นมา
4. การยับยั้งการกระทำและลดความหวั่นเกรง
ที่จะกระทำการที่ได้เห็นแม่แบบถูกลงโทษ
ผู้สังเกตมีแนวโน้มที่จะไม่กระทำตามแม่แบบนั้น
และในทำนองเดียวกันถ้าได้เห็นแม่แบบทำพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องและไม่ห้ามปรามแล้วไม่มีผลกรรมใดๆ
ตามมา ผู้สังเกตก็มีแนวโน้มที่จะกระทำตามแม่แบบ
5. การส่งเสริมการกระทำ
การมีแม่แบบจะมีอิทธิพลต่อการส่งเสริมการกระทำทั้งที่เป็นทางบวกและทางลบ
ถ้าผู้สังเกตได้เห็นแม่แบบแสดงพฤติกรรมหนึ่งและได้รับรางวัลผู้สังเกตมีแนวโน้มที่จะกระทำตามมากขึ้น
ในทำนองเดียวกันถ้าผู้สังเกตได้เห็นแม่แบบที่แสดงความก้าวร้าวและได้รับการยกย่องว่าเป็นสิ่งดี
ผู้สังเกตก็มีแนวโน้มกระทำตามมากขึ้น
ดังนั้นการเสนอแม่แบบในสังคมจำเป็นต้องมีความระมัดระวังอย่างยิ่ง
เพราะอาจจะมีผลต่อการเพิ่มพฤติกรรมทางลบได้
6. ทางด้านอารมณ์
การมีแม่แบบนอกจากจะส่งผลต่อการกระทำแล้ว
ยังมีผลต่ออารมณ์ของผู้สังเกตให้รุนแรงเพิ่มขึ้นและกระตุ้นให้เกิดอารมณ์คล้อยตามไปด้วย
7. การเอื้ออำนวยให้เกิดการกระทำตามแม่แบบ
การกระทำที่ให้คนเห็นคุณค่าและมีความชื่นชอบอยู่เสมอ
การกระทำของแม่แบบนั้นก็จะทำให้ผู้สังเกตทำได้โดยรวดเร็วและกระทำได้ง่าย
นอกจากนี้เมื่อคนสามารถกระทำตามแม่แบบได้เร็ว จะทำให้เกิดการแผ่ขยายจากสังคมหนึ่งได้รวดเร็วด้วย
แนวทางการจัดการเรียนรู้
แม่แบบที่มีประสิทธิภาพ
แม่แบบที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่
ความมีเกียรติ ความน่าเชื่อถือ
มีลักษณะนิสัยใจคอที่กลุ่มยอมรับและมีลักษณะที่เป็นแบบอย่าง
ซึ่งผู้สังเกตใฝ่ฝันจะเป็นเช่นนั้น ซึ่ง ผ่องพรรณ เกิดพิทักษ์ (2536:
53) ได้เสนอวิธีการคัดเลือกแม่แบบที่มีประสิทธิภาพไว้ดังนี้
1. แม่แบบที่คัดเลือกต้องสอดคล้องกับเป้าหมาย
เหมาะสมและเป็นตัวอย่างที่ดีมีความน่าเชื่อถือ
2. แม่แบบและผู้เรียนแบบหรือผู้สังเกต
ต้องมีลักษณะใกล้เคียงกัน เช่น อายุเท่าๆ กัน
3. ลักษณะของกิจกรรมที่เลียนแบบ
ควรจะเป็นกิจกรรมที่ไม่ซับซ้อน ยุ่งยาก เพราะจะทำให้เกิดการเลียนแบบได้ง่ายขึ้น
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการเสนอแม่แบบนั้นสรุปได้ดังนี้
(สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต, 2536: 255-256)
1. แม่แบบควรจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับผู้สังเกตทั้งในด้านเพศ
เชื้อชาติ และทัศนคติ
2. แม่แบบควรจะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในสายตาของผู้สังเกต
แต่ถ้ามีชื่อเสียงมากจนเกินไป ก็จะทำให้เขามีความรู้สึกว่าพฤติกรรมที่แม่แบบกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นจริงสำหรับเขาได้
3. ระดับความสามารถของตัวแบบนั้น
ควรจะมีระดับที่ใกล้เคียงกับผู้สังเกต เพราะถ้าใช้แม่แบบที่มีความสามารถสูงมาก ก็จะทำให้ผู้สังเกตคิดว่าเขาไม่น่าจะทำตามได้
4. แม่แบบนั้นควรจะมีลักษณะที่เป็นกันเองและอบอุ่น
5. แม่แบบเมื่อแสดงพฤติกรรมแล้ว
ได้รับการเสริมแรง จะทำให้ได้รับความสนใจจากผู้สังเกตมากขึ้น
กระบวนการเรียนรู้ด้วยการสังเกต
Bandura (1977:
22-29) กล่าวถึงกระบวนการเรียนรู้ด้วยการสังเกตว่ามีองค์ประกอบสำคัญ
4 ประการดังนี้
1. ความสนใจ เป็นกระบวนการเรียนรู้ลักษณะสำคัญๆ ของแม่แบบไว้อย่างละเอียดโดยการสังเกตและสามารถสรุปรวบรวมสิ่งที่รับรู้มาได้อย่างเป็นขั้นตอน
สิ่งที่มีอิทธิพลต่อกระบวนการของความสนใจในการเรียนรู้ด้วยการสังเกตนี้มามาก เช่น ลักษณะของผู้สังเกตในด้านการรับรู้
การรวบรวม และการแปลความหมายของสิ่งที่ได้สังเกตอันเป็นผลจากประสบการณ์เดิมของผู้สังเกตลักษณะหรือการแสดงออกของแม่แบบที่แปลกหรือดึงดูด
ความสนใจได้มากเพียงไร มีความชัดเจนหรือมีความซับซ้อนของแม่แบบมากน้อยแค่ไหน
2. กระบวนการจำ เป็นกระบวนการของการจำอันเกิดจากการรวบรวมพฤติกรรมของแม่แบบที่สังเกตทุกครั้งการเก็บความทรงจำนี้จะกระทำในรูปสัญลักษณ์
นี้จะช่วยให้จำพฤติกรรมของแม่แบบได้แม้ว่าจะเห็นแม่แบบเพียงชั่วเวลาอันสั้น
3. การแสดงออก เป็นกระบวนการของการดัดแปลงสัญลักษณ์ซึ่งเป็นแม่แบบพฤติกรรมเป็นพฤติกรรมที่เหมาะสมเมื่อมนุษย์เรามีข้อมูลที่เป็นสัญลักษณ์อยู่ในความทรงจำแล้วจะมีการแสดงพฤติกรรมเหล่าเข้ามาภายหลังได้ซึ่งพฤติกรรมที่แสดงออกครั้งแรกๆ
อาจจะยังไม่ถูกต้องนัก เพียงแต่แสดงได้ใกล้เคียงกับพฤติกรรมแม่แบบเท่านั้น แล้วค่อยๆ
ปรับแก้ไขพฤติกรรมของตนเองจนกว่าจะได้รับผลที่พึงพอใจ
4. การจูงใจ เป็นกระบวนการที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างความรู้ที่ได้รับมากับการแสดงออกในการเรียนรู้ทางสังคมนั้นมนุษย์ไม่สามารถแสดงออกได้ตามที่รับรู้มาได้ทั้งหมด
แต่จะเลียนแบบพฤติกรรมแม่แบบที่จะก่อให้เกิดผลดีแก่ตนเองมากกว่าการเลือกในทางที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อตนเองและจะประเมินคุณค่าของแม่แบบโดยการรับเอาสิ่งที่ตนพึงพอใจ
ดังนั้นองค์ประกอบอีกประการหนึ่งของการใช้ตัวแบบต้องมีการจูงใจโดยการให้รางวัลหรือการเสริมแรงทางบวก
เพื่อกระตุ้นให้ผู้สังเกตแสดงพฤติกรรมการเรียนแบบออกมาและเป็นการเสริมให้พฤติกรรมนั้นเกิดมากขึ้น
กระบวนการเรียนรู้จากแม่แบบ
เกสสุรางค์ สักกะบูชา (2540:
912) สรุปกระบวนการเรียนรู้จากแม่แบบไว้ดังนี้
ขั้นที่ 1
กระบวนการใส่ใจ (Attention process) บุคคลจะไม่เกิดการเรียนรู้หากขาดความใส่ใจ
และขาดการรับรู้พฤติกรรมที่แม่แบบแสดงออก สิ่งที่มีอิทธิพลต่อกระบวนการนี้คือ
1.1 ลักษณะเหตุการณ์ของแม่แบบ
ซึ่งจะก่อให้เกิดความใส่ใจของผู้สังเกตได้ดีมีหลายประการ เช่น ความเด่น แม่แบบที่เด่นย่อมดึงดูดให้ผู้สังเกตใส่ใจมากกว่าแม่แบบที่ไม่เด่นความซับซ้อนผู้สังเกตจะมีความใส่ใจต่อเหตุการณ์ของแม่แบบที่มีความซับซ้อนมาก
คำพูดยาวๆ จะมีความซับซ้อนเกินไปสำหรับเด็กเล็กๆ เขาจึงไม่ค่อยใส่ใจ ถ้าหากลดความยาวของคำพูดลงเด็กๆ
ก็จะมีความใส่ใจมากขึ้น จำนวนแม่แบบในพฤติกรรมที่เป็นแม่แบบ ถ้ามีแม่แบบหลายๆ ตัว ย่อมเรียกร้องความสนใจ
และก่อให้เกิด ความใส่ใจมากกว่าจำนวนแม่แบบน้อยๆ ความเกี่ยวข้องและการมีคุณค่า ปกติแล้วทุกคนจะใส่ใจแม่แบบ
ที่เกี่ยวข้องและมีคุณค่ากับตนเองเสมอ
1.2 ตัวผู้สังเกต
ลักษณะของผู้สังเกตที่มีอิทธิพลต่อกระบวนการใส่ใจ ได้แก่
1.2.1 การรับรู้ ความสามารถในการรับรู้และประสบการณ์รับรู้ในอดีต ผู้ที่สามารถรับรู้ได้ดีย่อมมีแนวโน้มในการใส่ใจได้ดีกว่าผู้ที่มีการรับรู้ไม่ดี
และประสบการณ์การรับรู้ในอดีตจะเป็นแนวให้ผู้สังเกตใส่ใจแม่แบบในแง่ใดแง่หนึ่ง และเป็นแนวทางในการแปลความจากการรับรู้นั้น
1.2.2 ระดับการตื่นตัว นักจิตวิทยาพบว่า ในขณะที่อยู่ในภาวการณ์ตื่นตัวระดับปานกลาง
จะมีความใส่ใจต่อแบบดีกว่าในภาวการณ์ตื่นตัวต่ำ
1.2.3 ความรู้สึกชอบที่มีอยู่เดิม ถ้าผู้สังเกตมีความรู้สึกชอบแม่แบบใดแม่แบบหนึ่งอยู่ก่อน
เขาก็จะมีความใส่ใจต่อสิ่งนั้นมาก
1.2.4 ทักษะการสังเกต ผู้สังเกตที่มีทักษะการสังเกตสูง และสามารถพิจารณารายละเอียดของแม่แบบได้ย่อมมีความใส่ใจในพฤติกรรมของแม่แบบมากกว่า
ผู้สังเกตที่มีลักษณะการสังเกตต่ำ ขั้นที่
2 กระบวนการเก็บจำ (Retentional process) เป็นกระบวนการที่ผู้สังเกตรวบรวมข้อมูล รูปแบบพฤติกรรมของแม่แบบที่สังเกตแต่ละครั้งแล้วนำมาวางรูปแบบของพฤติกรรมที่เด่นชัดในรูปสัญลักษณ์
(symbolic coding) แทนกิจกรรมที่เลียนแบบ การเก็บตามในรูปสัญลักษณ์กระทำใน
2 ลักษณะ คือ การประมวลไว้ในลักษณะของมโนภาพ (imaginal
coding) และในลักษณะของภาษา (verbal coding) การเก็บตามในรูปมโนภาพจะง่ายเมื่อมีสิ่งเร้า
( แม่แบบ) มาแสดงให้เห็นบ่อยๆ ส่วนการเก็บตามในรูปภาษาพัฒนาหลังจากมีมโนภาพและช่วยให้การเรียนรู้ประสบผลสำเร็จยิ่งขึ้นเพราะสัญลักษณ์ในรูปภาษาสามารถให้ข้อมูลที่มากพอ
และง่ายต่อการสะสมความรู้ที่ได้มาไว้ด้วย
ขั้นที่ 3
กระบวนการแสดงออก (Reproductional process)
เป็นกระบวนการที่ผู้สังเกตเปลี่ยนสัญลักษณ์ของการเก็บจำจากการสังเกตจากตัวแบบในรูปของความจำมาเป็นการกระทำหรือการแสดงออกที่เหมาะสมโดยการใช้กลไกของความคิด
ผู้สังเกตจะแสดงพฤติกรรมได้ครบตามที่สังเกตจากตัวแบบหรือไม่นั้นจะขึ้นอยู่กับระดับความคิด
และความซับซ้อนของพฤติกรรม
ขั้นที่ 4
กระบวนการจูงใจ (Motivational process)
บุคคลจะเลือกกระทำตามแม่แบบเมื่อการกระทำนั้นก่อให้เกิดผลดีตอบแทนมากกว่าพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดผลเสีย
การประเมินคุณค่าของพฤติกรรมของแม่แบ่งโดยผู้สังเกตเป็นไปในรูปของการรับเอาสิ่งที่ตนพึงพอใจไว้
และไม่ยอมรับสิ่งที่ตนไม่เห็นด้วย
กลวิธีในการเรียนรู้จากตัวแบบ
ในการนำทฤษฎีของแบนดูราไปใช้ เพื่อให้ผู้สังเกตเกิดการเลียนแบบพฤติกรรมต่างๆ
เพิ่มมากขึ้นนั้น Blackman and Silberman (1975: 57) ได้สรุปการนำไปปฏิบัติดังนี้
1. กำหนดพฤติกรรมที่ต้องการให้ผู้สังเกตเรียนรู้
2. มีแบบซึ่งแสดงพฤติกรรมที่ต้องการให้ผู้สังเกตเรียนรู้อย่างเหมาะสม
3. ให้แรงเสริมกับแม่แบบ เมื่อแม่แบบสามารถแสดงพฤติกรรมที่ต้องการให้ผู้สังเกตเรียนรู้ลักษณะของแม่แบบ
ข้อค้นพบจากการวิจัย
จัดการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคแม่แบบ
มีข้อค้นพบจากการวิจัยดังนี้
1. พฤติกรรมก้าวร้าว Bandura, Ross and Ross (1963: 3) ได้ศึกษาผลของการใช้แม่แบบต่อการเรียนแบบพฤติกรรมก้าวร้าว
โดยจัดแบ่งแม่แบบเป็น 3 ลักษณะ คือ แม่แบบที่เป็นจริง แม่แบบที่เป็นภาพยนตร์แสดงด้วยคนจริง
และแม่แบบที่ทำเป็นภาพยนตร์การ์ตูน กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กก่อนวัยเรียน ผลการทดลองพบว่าเด็กที่ได้รับแม่แบบก้าวร้าวแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้น
ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้รับแม่แบบไม่ค่อยมีพฤติกรรมก้าวร้าวปรากฏและแม่แบบที่เป็นภาพยนตร์มีผลต่อพฤติกรรมของผู้สังเกตทัดเทียมกับแม่แบบที่เป็นตัวจริง
2. พฤติกรรมการแยกตนเอง O’Conner (1969) ได้ทดลองตัวแบบเพื่อเพิ่มพฤติกรรมการเข้ากลุ่มเพื่อนของเด็กชั้นประถมศึกษา
ที่มีพฤติกรรมการแยกตัวออกจากเพื่อน พบว่ากลุ่มที่ได้ดูภาพยนตร์ตัวแบบมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเพิ่มขึ้นจาก
2 ครั้งใน 80 นาที เป็น 11 ครั้งใน 80 นาที และพบว่าบางคนเพิ่มขึ้นจาก 25
ครั้งใน 80 นาที ส่วนกลุ่มที่ดูภาพยนตร์เกี่ยวกับสัตว์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
3. พฤติกรรมเอื้อเฟื้อ Midlarsky, Bryan & Brickman (1973: 321-328) ได้ศึกษาผลการใช้แม่แบบและรางวัลที่ผลต่อพฤติกรรมเอื้อเฟื้อ
โดยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กนักเรียนหญิงเกรด 6 ใช้แม่แบบ 3
ลักษณะ คือ แบบเอื้อเฟื้อ แบบเป็นกลาง และแบบละโมบ การทดลองใช้การสร้างสถานการณ์ให้เล่นเกม
ผลการทดลองพบว่า แม่แบบและรางวัลที่เป็นคำพูดยกย่องมีอิทธิพลต่อ การปลูกฝังให้เกิดพฤติกรรมเอื้อเฟื้อ
สุณีน์ ชิ้นศักดิ์ชัย (2525: 33-35)
ศึกษาการทดลองใช้หุ่นเชิดมือเป็นแม่แบบเพื่อพัฒนาจริยธรรมด้านความเอื้อเฟื้อ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
2 โดยให้กลุ่มทดลองดูหุ่นเชิดมือสัปดาห์ละ 1 ครั้งๆ ละ 1 เรื่อง เรื่องละประมาณ 10 นาทีจำนวน 5 เรื่องส่วนกลุ่มควบคุมให้นักเรียนรู้จากการสอนตามปกติ
ผลจากการทดลองพบว่า คะแนนเฉลี่ยของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.01
4. ความกตัญญูกตเวที ศศิธร บรรลือสินธุ์ (2530: 46) ที่ศึกษาผลการใช้ตัวแบบที่มีคุณธรรมด้านความกตัญญูกตเวที
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า การสอนโดยใช้ตัวแบบเรื่องความกตัญญูกตเวทีทำให้นักเรียนมีคุณธรรมด้านความกตัญญูกตเวทีสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.01
5. การพึ่งตนเอง รัตนา ภัทรธัญญา (2535: 48-49)
ศึกษาผลของการใช้เทคนิคแม่แบบกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มทดลองสอนโดยใช้เทคนิคแม่แบบที่มีตัวแบบมีพฤติกรรมแสดงถึงการพึ่งตนเองด้านการเรียนในรูปวีดีทัศน์
กลุ่มควบคุมใช้การสอนแบบปกติ หลังการทดลองพบว่า นักเรียนในกลุ่มทดลองมีการพึ่งตนเองด้านการเรียนสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.01 และการสอนโดยใช้เทคนิคแม่แบบทำให้นักเรียนมีการพึ่งตนเองด้านการเรียนสูงกว่าการสอนปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.01
6. การกล้าแสดงออก วิไล พังสะอาด (2542: 45-46)
ได้ศึกษาผลของการใช้บทบาทสมมติและการใช้เทคนิคแม่แบบที่มีต่อพฤติกรรมการกล้าแสดงออก
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่า หลังจากการใช้บทบาทสมมติและการใช้เทคนิคแม่แบบ
นักเรียนมีพฤติกรรมการกล้าแสดงออกมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
7. เหตุผลเชิงจริยธรรม วรวรรณินี ราชสงฆ์ (2541: 71)
ได้ศึกษาเปรียบเทียบผลของการใช้เทคนิคแม่แบบและการใช้บทบาทสมมติที่กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
6 ที่มีการให้เหตุผลเชิงจริยธรรมต่ำ พบว่า นักเรียนมีการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรมด้านความซื่อสัตย์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.01
8. มารยาทในชั้นเรียน วีระ อุตสาหะ (2534: 61-67)
ได้ทำการทดลองโดยใช้เทคนิคแม่แบบโดยวีดีทัศน์เพื่อปรับปรุงพฤติกรรมมารยาทในชั้นเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ที่มีมารยาทไม่เหมาะสม กลุ่มทดลองสอนโดยใช้เทคนิคแม่แบบ
ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการสอนโดยข้อนิเทศ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนกลุ่มทดลองมีมารยาทในชั้นเรียนดีขึ้นกว่าก่อนการทดลองและดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.01
9. ความเสียสละ สุทธิชัย เดชสุวรรณนิธิ (2537: 197)
ได้ทำการศึกษาผลของการใช้เทคนิคแม่แบบที่มีต่อความเสียสละของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
6 กลุ่มทดลองได้รับการใช้เทคนิคแม่แบบกลุ่มควบคุมได้รับการสอนแบบปกติ
พบว่า นักเรียนที่ได้รับการใช้เทคนิคแม่แบบกับ การสอนปกติมีความเสียสละสูงขึ้นจากอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.01 และนักเรียนที่ได้รับการสอนเทคนิคแม่แบบมีความเสียสละสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.01
สรุปได้ว่านวัตกรรมที่เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการเรียนรู้ด้วยตนเองและการเรียนเป็นกลุ่มเป็นนวัตกรรมที่ดีอีกลักษณะหนึ่ง
ซึ่งผู้สนใจสามารถนำไปแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของตนเองได้ แต่ต้องศึกษาให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งในแนวคิดของการเรียนรู้ด้วยตนเองและการเรียนเป็นกลุ่มเพื่อให้สามารถใช้นวัตกรรมให้เหมาะสมกับปัญหาในการจัดการเรียน
การสอนและสามารถแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ได้จริง
สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต (2543) ได้กล่าวว่า การใช้เทคนิคแม่แบบ
เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยการสร้างหรือสอนพฤติกรรมให้แก่บุคคล
โดยการเสนอตัวแบบให้บุคคลได้สังเกตตัวแบบ
ซึ่งเป็นตัวแบบที่ผู้สังเกตให้ความสนใจและอยากทำตาม
และเมื่อบุคคลแสดงพฤติกรรมตามตัวแบบแล้วได้รับการเสริมแรงทางบวกบุคคลจะแสดงพฤติกรรมนั้นบ่อยขึ้น
สุภาพร ฉั่วพันธ์ (2554) ได้กล่าวว่า เทคนิคแม่แบบเป็นการเรียนรู้จากการสังเกต
การกระทำของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นการเรียนรู้ทางอ้อม
โดยผู้เรียนจะสังเกตพฤติกรรมของตัวแบบและผลจากการสังเกตพฤติกรรมจากตัวแบบจะทำให้บุคคลนั้นเลียนแบบพฤติกรรมของตัวแบบหรือเกิดพฤติกรรมใหม่ที่พึงประสงค์ได้
สรุป
จากการศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลข้างต้นสรุปได้ว่า
การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคแม่แบบ (Modeling Technique) เป็นการเรียนรู้ที่จะช่วยการสร้างหรือสอนพฤติกรรมให้แก่บุคคล ซึ่งเกิดจากการสังเกต
การกระทำของบุคคลอื่น เป็นการเรียนรู้ทางอ้อม โดยผู้เรียนจะสังเกตพฤติกรรมของตัวแบบ
ซึ่งเป็นตัวแบบที่ผู้เรียนให้ความสนใจและอยากทำตาม จะทำให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมตามตัวแบบแล้วได้รับการเสริมแรงทางบวกบุคคลจะแสดงพฤติกรรมนั้นบ่อยขึ้น
โดยมีกระบวนการเรียนรู้แม่แบบ มีดังนี้
ขั้นที่ 1 กระบวนการใส่ใจ (Attention process)
ขั้นที่ 2 กระบวนการเก็บจำ (Retentional process)
ขั้นที่ 3 กระบวนการแสดงออก (Reproductional process)
ขั้นที่ 4 กระบวนการจูงใจ (Motivational process)
และมีกลวิธีในการเรียนรู้ตัวแบบ
ดังนี้
1. กำหนดพฤติกรรมที่ต้องการให้ผู้สังเกตเรียนรู้
2. มีแบบซึ่งแสดงพฤติกรรมที่ต้องการให้ผู้สังเกตเรียนรู้อย่างเหมาะสม
3. ให้แรงเสริมกับแม่แบบ เมื่อแม่แบบสามารถแสดงพฤติกรรมที่ต้องการให้ผู้สังเกตเรียนรู้ลักษณะของแม่แบบ
ที่มา
ชัยวัฒน์ สุทธิรัตย์. (2553). 80 นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ. กรุงเทพฯ : บริษัท
แดเน็กซ์
อินเตอร์คอร์ปอเรชั่น จำกัด.
สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต. (2543). ทฤษฎีและการปรับพฤติกรรม. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงการณ์
มหาวิทยาลัย
สุภาพร ฉั่วพันธ์. (2554). ผลของการใช้เทคนิคแม่แบบที่มีต่อมารยาทในการรับประทานอาหารของ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
1 โรงเรียนสัตยาไส อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี. สารนิพนธ์
ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการศึกษา
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น